ทองคำเป็นหนึ่งในโลหะที่มีค่าและต้องการมากที่สุดตลอดหลายพันปี มีประวัติศาสตร์ที่หลากหลายตั้งแต่ยุคโบราณจนถึงปัจจุบัน ความหายากของมัน ความทนทาน และความงดงามได้ทำให้มันเป็นสัญลักษณ์ของความร่ำรวย อำนาจ และศักดิ์ศรีในทุกวัฒนธรรมและตลอดประวัติศาสตร์ ในปัจจุบัน ทองคำยังคงเป็นสินทรัพย์สำคัญสำหรับนักลงทุน เป็นวัสดุเลือกที่ได้รับความนิยมสำหรับเครื่องประดับและสินค้าหรูหรา เป็นส่วนประกอบสำคัญในอุตสาหกรรมต่าง ๆ ตั้งแต่อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ไปจนถึงการแพทย์ ด้วยคุณค่าของมันที่ไม่มีสิ่งได้มาทดแทนได้ทำให้ทองคำ เป็นเหมือนส่วนหนึ่งของเศรษฐกิจโลกและไม่สามารถแยกออกจากวัฒนธรรมมนุษย์ได้อีกนาน
H2: ทำความรู้จัก ทองคำ คืออะไร แตกต่างจากทองธรรมดาอย่างไร ?
หลาย ๆ คนคงจะมีคำถามข้างในใจบ้างไม่มากก็น้อย เวลาที่เราได้ยินคำว่า “ทองคำ” เนี่ย มีความแตกต่างจากทองธรรมดาอย่างไรบ้าง ใช่สีสันรึเปล่า หรือว่าใช่ทองแท้ที่เขาขายในตลาดกันแพงหรือไม่ ?
คำตอบที่ถูกต้องก็คือ ทั้ง “ถูกและผิด” เพราะ เจ้าคำว่า “ทอง” (Au) ที่มีเลขอะตอมอยู่ที่ 79 ตามตารางธาตุนั้น ถูกนำไปใช้เรียก อ้างถึงโลหะประเภทอื่นๆ ที่มีสีที่คล้ายกับทองได้ เช่น ทองแดง (Copper) หรือ ทองเหลือง (Brass) หรืออาจจะถูกนำไปเล่นลิ้นแต่งเติม จนผู้ซื้อได้สินค้าที่ได้มูลค่าไม่ตรงกับเงินที่ตัวเองจ่ายไปจริง ๆ ดังนั้นคำว่า “ทองคำ” จึงกลายเป็นคำเรียก ทองแท้ หรือทอง 24k ที่มีความบริสุทธิ์สูงที่สุดนั่นเอง
ส่วนทองที่เราเคยได้ยินกันในชื่อ 18k บ้าง 14k บ้าง ตัว k หรือค่ากะรัต (karat) ก็คือความบริสุทธิ์ที่ลดหลั่นกันลงมา อาจจะเกิดจากการผสมโลหะหนักประเภทอื่นเข้าไปเพื่อทำให้ทองเปลี่ยนสีเช่น การผสมกับทองแดงทำให้เกิดทองสีชมพูหรือโรสโกลด์ (Rose Gold) หรือ การผสมทองคำกับอลูมิเนียม ทำให้เกิดทองสีม่วง (Purple Gold) ขึ้น โดยหากผู้อ่านสนใจ ก็สามารถเข้าไปอ่านต่อได้ที่บทความ ทองมีกี่สี แตกต่างกันอย่างไร ได้เลย
ส่วนค่ากะรัตที่เกริ่นไปข้างต้นนั้นจะเริ่มจากจำนวนมากที่สุดที่ 24k ที่ถือว่าเป็นทองคำแท้ 100% ฉะนั้น ทอง 18k ที่คิดเป็น ⅓ ของ 24 จึงมีความบริสุทธิ์อยู่ที่ 75% ซึ่งการผสมทองคำกับโลหะอื่น ๆ นั้น ไม่ใช่เ-รื่องไม่ดีอะไร เพราะทองคำเปล่า ๆ นั้นอาจจะมีจุดอ่อนในเรื่องของความทนทานและราคา ทำให้การเจือทองเป็นการเพิ่มปริมาณ เพิ่มความทนทาน และยังเพิ่มสีสันให้กับโลหะทรงคุณค่าชิ้นนี้ขึ้นด้วยนั่นเอง โดยเฉพาะทอง 18k และ 14k ถือว่าเป็นอัตราส่วนที่นิยมกันมาก ๆ ในอุตสาหกรรมเครื่องประดับ
คุณสมบัติทางวิทยาศาสตร์ของทองคำ
- ทองคำ เป็นธาตุที่มีเลขอะตอมอยู่ที่ 79
- มีสัญลักษณ์ในตารางธาตุว่า Au
- ลักษณะโดยธรรมชาติเป็นโลหะแข็งสีเหลือง
- พบได้อิสระในธรรมชาติในรูปแบบที่หลากหลาย ทั้งทราย กิ่งก้าน ผลึก หรือ กรวด
- เป็นโลหะที่ไม่ว่องไวต่อปฏิกิริยา และไม่ละลายในกรดชนิดใดเลย
- ทั้งยังทนทานต่อการขึ้นสนิมดีเลิศ
- และมีจุดหลอมเหลวที่ 1064 องศาเซลเซียส
- จุดเดือดอยู่ที่ 2701 องศาเซลเซียส
- มีความถ่วงจำเพาะ 19.3 และน้ำหนักอะตอม 196.67
- ทองคำหนัก 1 ออนซ์ สามารถทำให้เป็นเส้นได้ยาวถึง 50 ไมล์ หรือสามารถแผ่ให้เป็นแผ่นที่มีขนาดบางเพียง 1 ไมครอนได้
- สามารถนำกลับมาทำให้บริสุทธิ์ใหม่ได้เสมอด้วยการหลอม
ทองคำมาจากไหน เกิดขึ้นได้อย่างไร ?
รู้หรือไม่ว่า ทองคำนั้น ถือว่าเป็นมรดกของอวกาศ เพราะแหล่งที่มาของทองคำนั้นนักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า เกิดมากจากการระเบิดซูเปอร์โนวาในอวกาศ เมื่อดวงดาวขนาดใหญ่หรือดาวฤกษ์หมดอายุขัยนั่นเอง ด้วยความร้อนและพลังงานมหาศาลนี้ ทำให้เกิดการหลอมธาตุและองค์ประกอบต่าง ๆ ออกมาและกระจายไปทั่วอวกาศและในช่วงที่โลกก่อกำเนิดขึ้นมาจากเศษหินและอุกกาบาตในอวกาศ ทองคำเหล่านี้จึงติดมาด้วยนั่นเอง
ฉะนั้นใครที่สงสัย ว่าเราสามารถสร้างทองคำได้หรือไม่ จริงแล้วในทางทฤษฎีสามารถทำได้แล้ว แต่ต้องใช้พลังงานและทรัพยากรสูงมากจนไม่คุ้มค่านั่นเอง
โดยในปัจจุบันทองเป็นธาตุธรรมชาติที่เกิดขึ้นได้ในแร่ธาตุ โดยพบแร่ทองในพื้นที่ต่างๆ ทั่วโลก เช่น ในออสเตรเลีย แคนาดา จีน และสหรัฐอเมริกา นอกจากนี้ ในแร่อื่น ๆ เช่น แร่เหล็ก แร่สแตนเลส และแร่ทองแดง อาจจะมีทองเจือปนอยู่โดยธรรมชาติ
ประโยชน์ของทองมีอะไรบ้าง ?
โดยในปัจจุบัน ทองคำนั้นกลายเป็นโลหะชนิดหนึ่งที่ขาดไม่ได้ในโลกอุตสาหกรรม ด้วยประโยชน์ที่หลากหลายมากมาย โดยเฉพาะกับ 4 อุตสาหกรรมหลักเหล่านี้
เครื่องประดับ
ความหรูหรา สวยงาม หายอก และราคา ของทองคำคือเสน่ห์ที่ไม่สามารถปฏิเสธได้ในวงการแฟชั่น โดยเฉพาะกับการนำมาทำเป็นตัวเรือนของเครื่องประดับไม่ว่าจะเป็น แหวน ต่างหู กำไล สร้อยคอ และอื่น ๆ อีกมากมาย เนื่องจากความอ่อนนุ่มและความยืดหยุ่นของมัน
นอกจากนี้ ทองยังมีคุณสมบัติที่ทนทานต่อสภาพแวดล้อม ไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงของสีและลักษณะภายใต้สภาพแสงแดด น้ำ และอากาศ เพียงทำความสะอาดง่าย ๆ เครื่องประดับทองนั้นจะกลับมาสวยเหมือนใหม่ได้อย่างง่ายได้
และท้ายที่สุดการนำทองมาใช้ในการผลิตเครื่องประดับยังเป็นวิธีในการลดการใช้พลาสติกและวัสดุที่มีผลต่อสิ่งแวดล้อม ทำให้เป็นวิธีการผลิตเครื่องประดับที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอีกด้วย
อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์
ทองคำมีประโยชน์ในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์เป็นอย่างมาก โดยเฉพาะในการผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่มีขนาดเล็ก เช่น มือถือ คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์การแสดงผล อย่างที่เราได้เกริ่นไปแล้วว่าทองคำมีความยืดหยุ่นสูงมาก ทำให้มันสามารถผลิตออกมาเป็นส่วนประกอบที่มีขนาดเล็กกว่าโลหะอื่น ๆ ได้ ทำให้อุปกรณ์มีน้ำหนักที่เบาตามลงไป
นอกจากนั้นทองคำยังนำไฟฟ้าได้ดีเป็นอันดับต้น ๆ มีความไวต่อการส่งสัญญาณได้ดีกว่าวัสดุอื่นๆ ทั้งยังมีความทนทานต่อการหมุนเวียนและรระบายความร้อนในการใช้งาน ซึ่งทำให้ทองคำเหมาะสมกับการใช้งานในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ต้องมีการทำงานแบบต่อเนื่องอย่างยาวนาน
การแพทย์
ทองมีประโยชน์ในการใช้ในการแพทย์อย่างมากมาย เช่นเครื่องมือแพทย์ที่ใช้ทำความสะอาดแผลและอุปกรณ์การผ่าตัด เนื่องจากทองสามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ผ่านการหลอมทำลาย ทำให้แม้จะเปื้อนเชื้อโรคไปแล้ว แต่ด้วยจุดหลอมเหลวของทองคำที่สูงถึง 1067 องศาจะช่วยฆ่าเชื้อโรคทั้งหมดทิ้งไป นอกจากนี้ ทองยังมีคุณสมบัติที่ช่วยรักษาโรคได้ เช่น การใช้ทองเป็นยาเพื่อรักษาโรคกระดูกพรุน และภูมิคุ้มกันของร่างกาย การฉีดทอง หรือฉายรังสีในร่างกายเพื่อรักษาโรคมะเร็ง เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีการวิจัยในการใช้ทองเพื่อรักษาโรคเบาหวาน โรคมะเร็ง และโรคอื่น ๆ ซึ่งอาจมีผลในอนาคตในการพัฒนายาที่มีส่วนผสมของทองเข้าไปด้วย
เศรษฐศาสตร์
ทองคำถูกใช้ในทางการคลังและแสดงฐานะมาตั้งแต่ยุคโบราณเนื่องจากมีความแข็งแรงและคงทนต่อการสกปรก และไม่มีการถูกทำลายได้โดยง่าย ทำให้การเมืองและการคลังในปัจจุบันนั้น ยังมีความผูกพันกับทองคำอยู่มาก เพื่อเป็นการรักษาความมั่งคั่งของหลายดินแดนในสมัยก่อนเอาไว้ ทำให้ทองคำถูกกำหนดให้เป็นโลหะสื่อกลางของการแลกเปลี่ยนเงินตรา และถูกใช้เป็นตัวแทนทุนสำรองเงินตราระหว่างประเทศ
เนื่องจากเป็นตัวแทนของความมั่งคั่งในหลาย ๆ ด้าน และมีความต้องการในตลาดตลอดเวลา การลงทุนซื้อทองเก็บไว้ หรือการลงทุนทองคำ กลายเป็นทางเลือกหนึ่งสำหรับผู้ลงทุนที่ต้องการความมั่นคงและการลงทุนที่มีโอกาสเสี่ยงน้อยอีกด้วย
ทำไมทองคำถึงแพง
ทองคำถือเป็นแร่ธาตุที่มีความหายาก และมักจะฝังลึกลงไปในดิน การจะได้ทองจำนวนหนึ่งนั้นยังต้องใช้การหลอม ถลุงแร่อีกปริมาณมาก ขัดกับความต้องการในตลาดที่สูงขึ้นตลอดเวลา ด้วยกระบวนการที่ซับซ้อนเพื่อสร้างทองคำแท้ที่มีคุณภาพสูง และค่าใช้จ่ายในการขนส่ง จัดการจัดเก็บ การรักษาคุณภาพ กลายเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้ราคาทองแพงขึ้นได้
สรุป
ฉะนั้นใครที่กำลังสงสัยว่า ทำไมทองคำถึงได้เป็นโลหะล้ำค่า และมีบทบาทสำคัญผ่านการเวลา ไม่ว่าจะยุคไหน ก็คนได้คลายความสงสัยกันไปบ้างแล้ว ซึ่งรู้ไหมว่า ทองคำนั้นอยู่ใกล้ตัวกว่าที่คุณคิด อย่างที่ได้เล่าไป